top of page
ค้นหา

5 วิธีเลือก “วัสดุมุงหลังคา” เมทัลชีทด้วยตนเอง เพื่อสร้างบ้านให้ปัง ตรงใจผู้อยู่

รูปภาพนักเขียน: Sangthai MetalsheetSangthai Metalsheet

5 วิธีเลือก “วัสดุมุงหลังคา” เมทัลชีทด้วยตนเอง

เมื่อพูดถึงการสร้างบ้าน หนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดที่เจ้าของบ้านไม่ควรมองข้ามก็คือ "หลังคา" เพราะเป็นส่วนที่ทำหน้าที่ปกป้องตัวบ้านจากสภาพอากาศภายนอก ไม่ว่าจะเป็น แสงแดดอันร้อนแรง ฝนตกหนัก ลมพายุ หรือแม้กระทั่งฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกต่าง ๆ  


ดังนั้น การเลือกวัสดุมุงหลังคาที่เหมาะสมไม่เพียงแต่ช่วยให้บ้านมีความแข็งแรงและทนทาน แต่ยังส่งผลต่ออายุการใช้งานของบ้าน ความสวยงาม และความสะดวกสบายของผู้อยู่อาศัยอีกด้วย บทความนี้ แสงไทยเมทัลชีท จึงได้รวบรวมข้อมูลดี ๆ เกี่ยวกับ 5 วิธีเลือก “วัสดุมุงหลังคา” เมทัลชีทด้วยตนเอง เพื่อสร้างบ้านให้ปัง ตรงใจผู้อยู่ มาฝากกัน 



ทำไมเจ้าของบ้านจึงควรให้ความสำคัญกับ วัสดุมุงหลังคา


ในปัจจุบันมีวัสดุมุงหลังคาหลายประเภทให้เลือกใช้งาน เพื่อให้เหมาะสมกับทรงหลังคาบ้านหลากหลายประเภท เช่น กระเบื้องซีเมนต์ใยหิน กระเบื้องดินเผา แผ่นโพลีคาร์บอเนต และเมทัลชีท ซึ่งวัสดุแต่ละประเภทก็มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป อย่างไรก็ตาม หลังคาเมทัลชีทได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ในหมู่เจ้าของบ้านและผู้รับเหมา เนื่องจากมีคุณสมบัติที่โดดเด่นหลายประการ เช่น ความแข็งแรง น้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย และมีอายุการใช้งานยาวนานกว่าวัสดุอื่น ๆ 


ข้อดีของเมทัลชีทเมื่อเทียบกับวัสดุมุงหลังคา แบบอื่น ๆ 


  • น้ำหนักเบา – ทำให้โครงสร้างรองรับน้ำหนักได้น้อยลง ลดต้นทุนการก่อสร้าง 

  • ติดตั้งง่าย – ใช้เวลาน้อยกว่าวัสดุอื่น ๆ ทำให้ลดค่าแรงงาน 

  • ทนทานต่อสภาพอากาศ – ไม่แตกหักง่าย ทนแดด ทนฝน 

  • ดูแลรักษาง่าย – ไม่สะสมคราบสกปรก เช็ดล้างทำความสะอาดได้ง่าย 

  • มีหลายสี หลายลาย – สามารถเลือกให้เข้ากับดีไซน์บ้านได้ตามต้องการ 

ดังนั้น หากเจ้าของบ้านต้องการสร้างบ้านที่สวยงาม แข็งแรง และคุ้มค่า เมทัลชีทจึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่ง 



5 วิธีเลือกวัสดุมุงหลังคาเมทัลชีทด้วยตนเอง 


1. เลือกรูปลอนเมทัลชีทให้เหมาะสมกับงานออกแบบ 


เลือกวัสดุมุงหลังคา ลอนเมทัลชีท ให้เหมาะสมกับงานออกแบบ

หลังคาเมทัลชีทในปัจจุบันสามารถรีดลอนได้หลายรูปทรง เช่น ลอนแบบสูง และลอนแบบเตี้ย ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการออกแบบบ้านได้อย่างหลากหลาย โดยเจ้าของบ้านควรเลือกให้เหมาะสมกับสไตล์บ้านและสภาพแวดล้อม ดังนี้  


  • ลอนสูง – เหมาะสำหรับพื้นที่ฝนตกชุก นิยมใช้มุงหลังคา เพราะสามารถช่วยระบายน้ำฝนได้ดี ลดปัญหาน้ำรั่วซึม 

  • ลอนเตี้ย – เหมาะสำหรับการตกแต่งฝ้าเพดาน หรือผนัง เพิ่มความสวยงาม ดูมีมิติให้กับตัวบ้าน 


ซึ่งนอกจากจะต้องเลือกรูปลอนให้เหมาะสมกับการใช้งานแล้ว หากต้องการมุงหลังคา การใช้รู้จักองศาหลังบ้านที่เหมาะสมก็เป็น อีกสิ่งสำคัญที่เจ้าของบ้านไม่ควรมองข้าม ดังนั้นควรวางแผนการติดตั้งกับผู้เชี่ยวชาญให้ดี เพื่อให้บ้านมีอายุการใช้งานยาวนาน  


2. เลือกความหนาเมทัลชีทที่เหมาะสมกับอาคาร 


ความหนาเมทัลชีทที่เหมาะสมกับอาคาร

ขนาดความหนาของเมทัลชีทเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความแข็งแรงและความทนทานของหลังคา โดยมีแนวทางการเลือกดังนี้ 


  • หลังคาบ้าน – ควรเลือกขนาด 0.35 มม. ขึ้นไป เพื่อความแข็งแรงและอายุการใช้งานที่ยาวนาน 

  • หลังคาโรงงาน หรืออาคารขนาดใหญ่ – ควรเลือกขนาด 0.40 - 0.50 มม. เพื่อรองรับแรงลมและแรงกระแทกที่มากขึ้น 


ที่สำคัญ! การติดตั้งหลังคาเมทัลชีทโดยบุฉนวนกันร้อนพียูโฟม ก็ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ช่วยให้บ้านของเราเย็นสบาย กันแดด ทนฝน และลดเสียงรบกวนได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย


3. ระบบติดตั้งเมทัลชีทมีหลายรูปแบบ 


ระบบติดตั้งเมทัลชีทมีหลายรูปแบบ

ปัจจุบันรูปแบบการติดตั้งมี 3 รูปแบบ เช่น ยึดสกรูคลิปล็อก และสแนปล็อก ซึ่งคุณสมบัติหลัก ๆ ของทั้ง 3 แบบนี้ มีส่วนสำคัญ ที่ช่วยในการยึดหลังคาลดโอกาสการหลุดปลิวจากสภาพอากาศ แต่ทั้งนี้ระบบการติดตั้ง จะขึ้นอยู่กับรูปลอนที่ผู้ใช้งานเลือกใช้ และความลาดชันของหลังคา เช่น 


  • ระบบยิงสกรู – เหมาะสำหรับหลังคาทรงปั้นหยา หรือเพิงหมาแหงน ที่มีองศาลาดชันสูง 

  • ระบบคลิปล็อก – ลดโอกาสการรั่วซึม และเพิ่มความแข็งแรง เหมาะสำหรับหลังคาที่มีความลาดชันต่ำ 

  • ระบบสแนปล็อก – ดีไซน์สวยงาม ไม่มีหัวสกรูให้เห็น ช่วยเพิ่มความโมเดิร์นให้กับบ้าน  

  


4. เลือกเมทัลชีทที่รับรองมาตรฐานคุณภาพ 


เลือกเมทัลชีทที่รับรองมาตรฐานคุณภาพ

เพราะนอกจากรูปลอน ความหนา และระบบการติดตั้งแล้ว เจ้าของบ้านควรเลือกเมทัลชีทที่มีการรับรองตาม มาตรฐานสากล ซึ่งปัจจุบันมีสัญลักษณ์มากมายสำคัญ ๆ ดังนี้

    

  • มาตรฐาน มอก. – มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมของประเทศไทย 

  • ASTM – มาตรฐานของอเมริกา ได้รับการยอมรับทั่วโลก 

  • AS – มาตรฐานของออสเตรเลีย 

  • JIS – มาตรฐานของญี่ปุ่น 

  • DIN – มาตรฐานเยอรมัน

     

การเลือกวัสดุที่ได้รับการรับรองมาตรฐานเหล่านี้จะช่วยให้มั่นใจในเรื่องของคุณภาพ ความปลอดภัย และความทนทานของเมทัลชีทในระยะยาว 


5. สอบถามการรับประกันของสินค้าอยู่เสมอ 


สอบถามการรับประกันของสินค้าอยู่เสมอ

นอกจากการเลือกวัสดุที่มีมาตรฐานแล้ว อีกหนึ่งปัจจัยที่ไม่ควรมองข้ามคือ "การรับประกันสินค้า" โดยผู้ผลิตที่มีความน่าเชื่อถือมักจะให้การรับประกันคุณภาพของเมทัลชีทในระยะเวลาที่เหมาะสม เช่น

 

  • การรับประกันการเกิดสนิม – ควรมีการรับประกันระยะเวลา 10-20 ปี 

  • การรับประกันสีซีดจาง – ควรมีการรับประกันระยะเวลา 5-10 ปี 

  • การรับประกันโครงสร้าง – ควรครอบคลุมการเสียหายจากการผลิต 


ดังนั้น ก่อนซื้อเมทัลชีท เจ้าของบ้านควรสอบถามข้อมูลการรับประกันจากผู้ขายให้ชัดเจน เพื่อให้มั่นใจว่าหลังคาที่เลือกจะมีคุณภาพดีและคุ้มค่ากับการลงทุน 


สรุป 


การเลือก วัสดุมุงหลังคา เมทัลชีทเป็นสิ่งที่เจ้าของบ้านควรให้ความสำคัญ เนื่องจากส่งผลต่อความแข็งแรง ความสวยงาม และความคุ้มค่าในระยะยาว โดยมีวิธีการเลือกที่ควรคำนึงถึง 5 ข้อหลัก ได้แก่

 

  1. เลือกรูปลอนที่เหมาะสมกับการใช้งาน 

  2. เลือกความหนาเมทัลชีทที่เหมาะกับอาคาร 

  3. เลือกระบบติดตั้งที่เหมาะสมกับรูปทรงหลังคา 

  4. ตรวจสอบมาตรฐานคุณภาพของวัสดุ 

  5. สอบถามเงื่อนไขการรับประกันสินค้าก่อนซื้อ 


หากเจ้าของบ้านเลือกวัสดุที่ดี ติดตั้งอย่างถูกต้อง และดูแลรักษาอย่างเหมาะสม หลังคาเมทัลชีทก็จะสามารถอยู่คู่กับบ้านไปได้อีกนานหลายสิบปีอย่างแน่นอน 


หากคุณอ่านคอนเทนต์ “5 วิธีเลือกวัสดุมุงหลังคาเมทัลชีทด้วยตนเอง เพื่อสร้างบ้านให้ปัง ตรงใจผู้อยู่” แล้วรู้สึกชอบคอนเทนต์ของเราอย่าลืมกดติดตามคอนเทนต์ของเราดี ๆ ได้ที่ 

Facebook : Sangthai Metalsheet 

สุดท้าย หากคุณกำลังมองหาเมทัลชีทเพื่อต่อเติมโรงงาน หรือ พัฒนาโปรเจกต์ต่าง ๆ เกี่ยวกับการสร้างอาคารด้วยเมทัลชีท 

ติดต่อหา แสงไทยเมทัลชีท ได้ง่าย ๆ ตามช่องทางดังต่อไปนี้ 

LINE: @sangthaigroup 

Call Center: 02-0249297 

Website แสงไทยเมทัลชีท: https://www.sangthaimetalsheet.com 

 
 
 

コメント


bottom of page